จักรพรรดิฟรันซ์ โยเซฟที่ 1 แห่งออสเตรีย พระนามเต็ม: ฟรันซ์ โยเซฟ คาร์ล (Franz Joseph Karl von Habsburg-Lorraine) ทรงเป็นจักรพรรดิแห่งออสเตรีย และ กษัตริย์แห่งการี และทรงเป็นจักรพรรดิและพระราชาธิบดีพระองค์แรกในจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีตั้งแต่ปีพ.ศ. 2410 พระองค์ทรงเป็นองค์พระประมุขที่ครองราชย์ยาวนานที่สุดเป็นอันดับที่สามในยุโรป รองจากเจ้าชายโจฮันน์ที่ 2 แห่งลิกเตนสไตน์และพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศส ซึ่งทั้งสองพระองค์นี้ทรงครองราชย์เป็นเวลา 70 กว่าปีเท่ากัน
จักรพรรดิฟรันซ์ โยเซฟเสด็จพระราชสมภพเมื่อวันที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2373 ณ พระราชวังเชินบรุนน์ กรุงเวียนนา จักรวรรดิออสเตรีย เป็นพระราชโอรสและพระราชบุตรองค์โตในอาร์ชดยุกฟรันซ์ คาร์ล (ซึ่งเป็นพระราชโอรสองค์สุดท้องในจักรพรรดิฟรันซ์ที่ 2 แห่งโรมันอันศักดิ์สิทธิ์) และเจ้าหญิงโซฟีแห่งบาวาเรีย เมื่อปีพ.ศ. 2378 พระราชปิตุลาของพระองค์ จักรพรรดิแฟร์ดีนันด์ ทรงสละราชสมบัติกะทันหัน เนื่องจากเกิดการปฏิวัติในกรุงเวียนนา โดยมีประชามติให้พระองค์สละราชสมบัติ เพราะพระองค์ทรงปกครองบ้านเมืองไม่ดีพอ อาร์ชดยุกฟรันซ์ คาร์ล ซึ่งเป็นพระอนุชาจึงทรงแนะนำให้ผู้เป็นพระเชษฐาสละราชสมบัติให้กับพระโอรสของพระองค์ อาร์ชดยุกฟรันซ์ คาร์ล และอาร์ชดัชเชสโซฟีจึงมีพระบัญชาให้พระโอรสของพระองค์เตรียมตัวขึ้นเป็นจักรพรรดิ โดยให้ทรงตระหนักถึงภาระหน้าที่ ความหมั่นเพียร อาร์ชดยุกฟรันซ์ โยเซฟจึงทรงดีพระทัยที่จะได้เป็นองค์พระจักรพรรดิ ทรงเกิดความเคารพนับถือและเลื่อมใสจักรพรรดิฟรันซ์ที่ 1พระอัยกาของพระองค์ว่าทรงเป็นตัวอย่างที่จะปฏิบัติหน้าที่ในฐานะที่ทรงเป็นจักรพรรดิ ซึ่งเสด็จสวรรคตเมื่อพระองค์มีพระชนมายุเพียง 5 พรรษาเท่านั้น เมื่อเจริญพระชนมายุ 13 พรรษา พระองค์ทรงเข้าร่วมการฝึกทหารในราชนาวีกองทัพออสเตรีย พระองค์ทรงได้รับการฝึกฝนอย่างเข้มงวด ชนิดที่ออกนอกกรอบไม่ได้เลยทีเดียว ดังนั้น พระองค์จึงทรงเครื่องแบบทหารราชนาวีตลอดมาจนเมื่อได้ทรงครองราชสมบัติ
หลังจากที่เจ้าชายคลีเมนส์ เว็นเซิล แห่งเม็ทเตอร์นิช สมุหนายกแห่งออสเตรียได้ลาออกจากตำแหน่ง หลังจากการปฏิวัติในกรุงเวียนนาเมื่อปีพ.ศ. 2391 อาร์ชดยุกฟรันซ์ โยเซฟ ในฐานะที่จะได้สืบราชสมบัติต่อจากพระราชปิตุลา ทรงแต่งตั้งเจ้าชายแห่งเม็ทเตอร์นิชให้เป็นผู้ว่าการรัฐแห่งโบฮีเมีย เมื่อวันที่ 6 เมษายน หลังจากนั้นไม่นาน วันที่ 29 เมษายน พระองค์เสด็จเยือนประเทศอิตาลี เพื่อกระชับความสัมพันธ์ทั้ง 2 ประเทศโดยมีจอมพลโยเซฟ โรเด็ทสกี้ วอน ราเด็ทส์ เป็นผู้ติดตาม ในขณะเดียวกัน พระองค์ทรงถูกเรียกกลับประเทศอย่างกะทันหัน พระบิดาและพระมารดาของพระองค์ทรงเรียกให้มาที่เมืองอินส์บรุค รัฐทีโรล ซึ่งที่นั่นเองทำให้พระองค์ได้พบกับพะญาติของพระองค์ ดัชเชสเอลิซาเบธแห่งบาวาเรีย ซึ่งเป็นผู้ที่จะเป็นเจ้าสาวของพระองค์ในอนาคต ซึ่งขณะนั้น ดัชเชสเอลิซาเบธมีพระชันษาเพียง 10 ปี
เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2391 พระราชปิตุลาของพระองค์ จักรพรรดิแฟร์ดีนันด์ ทรงสละราชสมบัติกะทันหัน โดยตอนแรก ทรงสละราชสมบัติให้กับอาร์ชดยุกฟรันซ์ คาร์ล แต่พระองค์ทรงมอบราชบัลลังก์ให้กับพระโอรสของพระองค์เสียเอง อาร์ชดยุกฟรันซ์ โยเซฟ จึงทรงครองราชย์เป็นจักรพรรดิแห่งออสเตรีย และ กษัตริย์แห่งฮังการี ซึ่งพระองค์ทรงเป็นจักรพรรดิเพียง 18 พรรษา
1 ปีผ่านไป ของการเป็นจักรพรรดิ พระองค์ได้รับคำแนะนำของเจ้าชายเฟลิกซ์แห่งชวาร์เซ็นเบิร์ก นายกรัฐมนตรีของออสเตรีย ซึ่งแนะนำให้พระองค์ทรงระมัดระวัง ที่จะยอมรับการเปลี่ยนแปลงการปกครองไปอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ ซึ่งในเวลาเดียวกันนั้นเอง ทหารได้เข้าจับกุมชาวฮังการีกลุ่มหนึ่งซึ่งก่อการกบฏ โดยมุ่งหมายที่จะล้มล้างและโจมตีราชวงศ์ฮับส์บูร์ก ทำให้พระองค์ทรงได้เผชิญหน้าทำสงครามกับสมเด็จพระราชาธิบดีคาร์โล อัลเบอร์โตแห่งซาร์ดิเนีย ซึ่งทรงชวนฮังการีมาเป็นส่วนหนึ่งของราชอาณาจักรซาร์ดิเนีย เมื่อจักรพรรดิทรงทราบ พระองค์จึงทรงทำสงครามกับซาร์ดิเนียในสมรภูมิคัสโตซ่า เมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. 2392 ผลของสงครามครั้งนี้คือ ฝ่ายออสเตรียเป็นฝ่ายชนะ และกษัตริย์แห่งซาร์ดิเนียสิ้นพระชนม์ในสมรภูมิรบด้วย เมื่อเสร็จสิ้นสงครามแล้ว พระองค์ก็ยังทรงต้องสะสางปัญหาทั้งหมดในจักรวรรดิ คือ การปฏิวัติในฮังการีเมื่อปีค.ศ. 1848 ซึ่งชาวแม็กยาร์ (ฮังการี) ได้เรียกร้องเอกราชจากออสเตรีย พระองค์จึงทรงเจรจากับผู้นำปฏิวัติให้มั่นใจในระบอบการปกครองของพระองค์ ซึ่งผลจากการเจรจาก็คือ ฮังการียอมสลายการปฏิวัติและจงรักภักดีต่อพระองค์และพระราชวงศ์ แต่ปัญหาใหม่ก็มาคือ ปรัสเซียได้กีดกันออสเตรียไม่ให้ร่วมสมาชิกสหพันธรัฐเยอรมัน (German Ferderation) ซึ่งปรัสเซียเป็นผู้นำ ซึ่งการกีดกันไม่ให้ออสเตรียเป็นสมาชิกนี้ มีผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของออสเตรียและประเทศอื่นๆด้วย แต่ออสเตรียก็ยังเป็นสมาชิกสมาพันธรัฐเยอรมัน (German Confederation) โดยเมื่อพ.ศ. 2395 เจ้าชายชวาร์เซ็นเบิร์ก นายกรัฐมนตรีออสเตรียถึงแก่อสัญกรรม และไม่มีใครมาดำรงตำแหน่งแทน และไม่สามารถหาคนอื่นมาดำรงตำแหน่งแทนได้ พระองค์จึงทรงเข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเสียเอง โดยต่อจากนี้ไปพระองค์จะทรงมีส่วนร่วมทางการเมืองทั้งหมด...
เมื่อวันที่18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2396 จักรพรรดิทรงรอดชีวิตจากการลอบปลงพระชนม์ของนักชาตินิยมชาวฮังการี แจนอส ลีเบนยี ซึ่งขณะนั้น พระองค์ทรงแปรพระราชอัธยาศัยกับราชเลขาของพระองค์ตามทางเดินริมแม่น้ำ ลีเบนยีก็วิ่งตรงเข้าหาพระองค์ โดยใช้มีดแทงเข้าที่ข้างหลังและพระศอของพระองค์อย่างจัง แต่ด้วยความที่พระองค์โปรดฉลองพระองค์ของทางราชการตลอด โดยฉลองพระองค์ที่พระองค์ทรงสวมใส่ตอนนั้น มีคอปกเสื้อที่ปิดพระศอโดยทำมาจากวัสดุที่เหนียวและหนา ดังนั้นพระองค์ทรงไม่มีบาดแผลที่พระศอ แต่ทรงมีบาดแผลที่ข้างหลัง ส่วนลีเบนยีผู้ลอบปลงพระชนม์นั้น ถูกจับกุมโดยทหารรักษาพระองค์ และนำส่งตัวไปพิจารณาคดีในชั้นศาล ศาลตัดสินให้ประหารชีวิต หลังจากการลอบปลงพระชนม์ไม่สำเร็จแล้ว พระราชอนุชาของพระองค์ อาร์ชดยุกแฟร์ดีนันด์ แม็กซีมีเลียน โยเซฟ ภายหลังทรงเถลิงราชสมบัติเป็นจักรพรรดิแห่งเม็กซีโก ได้ทรงขอให้พระราชวงศ์ต่างๆในทวีปยุโรปบริจาคเงินสมทบทุนเพื่อสร้างวิหารใหม่ เพื่อเป็นที่หลบภัยของพระเชษฐาและสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สำคัญแห่งหนึ่งในยุโรป โดยวิหารนี้ตั้งอยู่ใกล้กับมหาวิทยาลัยเวียนนา ชื่อว่า โวทิฟเคิร์ช
เมื่อพระองค์ทรงเถลิงราชสมบัติในตอนแรกนั้น พระมารดาของพระองค์ทรงทูลกับพระองค์ให้ทรงรีบอภิเษกสมรส เพื่อได้มีองค์รัชทายาท โดยพระมารดาของพระองค์ทรงเลือกเจ้าสาวให้ โดยอาร์ชดัชเชสโซฟีทรงเลือกจัดเตรียมไว้ให้แล้ว คือพระนัดดาของพระองค์ ดัชเชสเฮเลนแห่งบาวาเรีย พระธิดาองค์โตในเจ้าหญิงลูโดวิก้า ผู้เป็นพระขนิษฐาของอาร์ชดัชเชสโซฟี โดยดัชเชสเฮเลนนั้นทรงพระชนมายุอ่อนกว่าจักรพรรดิเพียง 4 ปี แต่พระองค์ไม่โปรดที่จะอภิเษกสมรสกับดัชเชสเฮเลน พระองค์กลับทรงเลือกที่จะอภิเษกสมรสกับพระขนิษฐาของดัชเชสเฮเลนแทนคือ ดัชเชสเอลิซาเบธ หลังจากได้ทรงพบรู้จักและวิสาสะกันเพียงไม่กี่วัน ท่ามกลางการคัดค้านของพระราชวงศ์ เพราะทรงเห็นว่าดัชเชสเฮเลนเหมาะสมที่สุดที่จะเป็นองค์พระจักรพรรดินีและพระมเหสีของพระองค์ แต่พระองค์ทรงไม่สนพระทัยต่อคำพ้องของพระราชวงศ์รวมทั้งพระมารดา อย่างไรก็ตามพระราชวงศ์บาวาเรียทรงยอมจัดพระราชพิธีหมั้นให้ เพราะทรงเห็นว่าเป็นพระราชประสงค์ขององค์พระประมุขแห่งจักรวรรดิออสเตรีย
จักรพรรดิฟรันซ์ โยเซฟและดัชเชสเอลิซาเบธทรงเข้าพิธีอภิเษกสมรสเมื่อวันที่24 เมษายน พ.ศ. 2397 ณ มหาวิหารเซนต์ สตีเฟน กรุงเวียนนา ชีวิตสมรสของทั้งสองพระองค์ไม่ค่อยราบรื่นเท่าไหร่นัก เพราะฝ่ายหญิงถูกกีดกันโดยอาร์ชดัชเชสบางพระองค์ รวมทั้งอาร์ชดัชเชสโซฟี ผู้เป็นพระสัสสุต่างๆนาๆ เพื่อลดความสำคัญของพระองค์ไป แต่ด้วยความที่พระองค์ทรงเป็นองค์พระจักรพรรดินี พระชายาแห่งองค์ประมุขแห่งจักรวรรดิออสเตรีย พระองค์ทรงได้รับความช่วยเหลือและความมีน้ำพระทัยจากอาร์ชดยุกและอาร์ชดัชเชสบางพระองค์ รวมทั้งพระสวามีของพระองค์ด้วย
จักรพรรดิฟรันซ์ โยเซฟ และจักรพรรดินีเอลิซาเบธมีพระราชธิดา 3 พระองค์ และพระราชโอรสเพียง 1 พระองค์ รวมพระราชบุตรทั้งหมด 4 พระองค์ ดังนี้
โดยช่วงเวลาที่พระองค์ทรงครองราชสมบัติเป็นจักรพรรดิแห่งออสเตรีย และกษัตริย์แห่งฮังการีนั้น ได้เกิดเหตุร้ายต่าๆนาๆ โดยเมื่อปีพ.ศ. 2432 อาร์ชดยุกรูดอล์ฟ มกุฎราชกุมารและพระราชโอรสเพียงพระองค์เดียว ทรงตัดสินใจปิดพระชนม์ชีพพระองค์เองด้วยพระแสงปืนที่ คฤหาสน์ล่าสัตว์มาเยอร์ลิ่ง รัฐโลเวอร์ ออสเตรียพร้อมด้วยนางสนมของพระองค์ บารอนเนสแมรี่ เว็ทเซร่า ต่อมาเมื่อปีพ.ศ. 2441 จักรพรรดินีเอลิซาเบธ ผู้เป็นพระมเหสีอันเป็นที่รักยิ่งของพระองค์ ทรงถูกลอบปลงพระชนม์ที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ขณะทรงแปรพระราชฐานพักร้อน พระองค์ถูกมีดแทงจนสิ้นพระชนม์โดยนักอธิปไตยนิยมชาวอิตาลี การสูญเสียครั้งนี้สร้างความเสียพระทัยของประชาชนเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะจักรพรรดิผู้เป็นพระสวามี พระองค์ทรงอยู่ในห้วงระทมทุกข์ตลอดพระชนม์ชีพ โดยเมื่อระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1นั้น พระองค์ได้ทรงพาอาร์ชดัชเชสซีต้า พระชายาในอาร์ชดยุกคาร์ล พระนัดดา (ภายหลังทรงเป็นจักรพรรดิและจักรพรรดินีแห่งออสเตรีย) และพระราชบุตรไปหลบภัย ณ พระราชวังเชินบรุนน์ พระองค์มีพระปฏิสันถารกับจักรพรรดินีซีต้าเกี่ยวกับพระมเหสีของพระองค์ว่า You'll never know how important she was for me (เจ้าไม่ทางรู้หรอกว่าพระนางมีความสำคัญกับข้าพเจ้ามากแค่ไหน)
ในช่วงปีค.ศ. 1850 มีความขัดแย้งทางการเมือง และปัญหาทางการเมืองการปกครอง ซึ่งผลกระทบมาจากสงครามไครเมีย การมีปัญหาเกี่ยวกับความสัมพันธไมตรีกับรัสเซีย สงครามออสเตรีย-ซาร์ดิเนีย และอุปสรรคของการเป็นสมาชิกสหพันธรัฐเยอรมัน จนนำไปสู่สงครามออสเตรีย-ปรัสเซียเมื่อปีพ.ศ. 2409 ซึ่งเป็นเหตุให้มีการเปลี่ยนแปลงระบอบการเมืองการปกครองครั้งใหญ่ โดยยุบจักรวรรดิออสเตรียลง เปลี่ยนมาใช้ระบอบการปกครองแบบองค์พระประมุขควบคู่ (Dual Monarchy) เพื่อรักษาเสถียรภาพและความสมดุลทางการเมือง คือจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีเมื่อปีพ.ศ. 2410
ต่อมาปีพ.ศ. 2457 อาร์ชดยุกฟรันซ์ แฟร์ดีนันด์ พระนัดดาของพระองค์ ซึ่งทรงดำลงตำแหน่งเป็นองค์รัชทายาทต่อจากอาร์ชดยุกรูดอล์ฟซึ่งสิ้นพระชนม์ไป ถูกลอบปลงพระชนม์ด้วยพระแสงปืนพร้อมด้วยพระชายา ณ เมืองซาราเยโว บอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา ซึ่งการลอบปลงพระชนม์ครั้งนี้นำไปสู่สงครามโลกครั้งที่ 1 ทันที
จักรพรรดิฟรันซ์ โยเซฟเสด็จสวรรคตอย่างสงบเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2459 ณ พระราชวังเชินบรุนน์ ท่ามกลางอาร์ชดยุกและอาร์ชดัชเชส พระราชนัดดาหลายพระองค์ รวมทั้งอาร์ชดัชเชสซีต้าด้วย พระองค์สวรรคตในระหว่างสงคราม สิริพระชนมพรรษาได้ 86 พรรษา รวมระยะเวลาการครองราชย์ได้ 68 ปี พระศพของพระองค์ถูกฝังไว้ที่วิหารฮับส์บูร์ก กรุงเวียนนา โดยมีพระศพของจักรพรรดินีเอลิซาเบธและอาร์ชดยุกรูดอล์ฟ มกุฎราชกุมารตั้งอยู่เคียงข้าง
His Imperial and Royal Apostolic Majesty Franz Josepf Karl von Habsburg-Loriane By the Grace of God, Franz Joseph I, Emperor of Austria, King of Hungary and Bohemia, King of Lombardy-Venetia, of Dalmatia, Croatia, Slavonia, Galicia, Lodomeria and Illyria; King of Jerusalem etc., Archduke of Austria; Grand Duke of Tuscany and Cracow, Duke of Lorraine, of Salzburg, Styria, Carinthia, Carniola and of the Bukovina; Grand Prince of Transylvania; Margrave of Moravia; Duke of Upper and Lower Silesia, of Modena, Parma, Piacenza and Guastalla, of Auschwitz, Zator and Teschen, Friuli, Ragusa (Dubrovnik) and Zara (Zadar) ; Princely Count of Habsburg and Tyrol, of Kyburg, Gorizia and Gradisca; Prince of Trent (Trento) and Brixen; Margrave of Upper and Lower Lusatia and in Istria; Count of Hohenems, Feldkirch, Bregenz, Sonnenberg.; Lord of Trieste, of Cattaro (Kotor) , and in the Windic march; Grand Voivode of the Voivodship of Serbia ด้วยอำนาจแห่งพระผู้เป็นเจ้า ฟรันซ์ โยเซฟที่ 1 จักรพรรดิแห่งออสเตรีย กษัตริย์แห่งโบฮีเมีย ลอมบาร์ดี-เวเนเทีย ดาลมาเทีย โครเอเชีย สลาโวเนีย กาลิเซีย โลโดมีเรีย อีลีเรีย และเยรูซาเลม อาร์ชดยุกแห่งออสเตรีย แกรนด์ดยุคแห่งทัสคานีและคราโคว์ ดยุคแห่งลอร์เรน ซาร์สบูร์ก สตีเรีย คารินเธีย คาร์นิโอล่า และบูโกวิน่า แกรนด์ พรินซ์แห่งทรานซิลวาเนีย มาร์เกรฟแห่งโมราเวีย ดยุคแห่งอัปเปอร์และโลเวอร์ ซีลีเซีย โมเดน่า ปาร์มา ปิอาเซนซ่า กูแอสตาลล่า และออชวิตส์ เซเตอร์และเทสเชน ฟริวลี่ รากูซ่า (ดูบรอฟนิค) และซาร่า (ซาดาร์) ท่านเคานต์แห่งฮับส์บูร์ก และทีรอล คายบูร์ก กอริเซีย และกราดิสก้า เจ้าชายแห่งเทรนต์และบริกเซน มาร์เกรฟแห่งอัปเปอร์และโลเวอร์ลูซาเทีย และอิสเตรีย เคานต์แห่งโฮเฮเน็มส์ เฟลด์เคิรช์ บรีเจนซ์ และซอนเนอเบิร์ก ลอร์ดแห่งเทรียสต์ คัทตาโร (คอเตอร์) และวินดิก มาร์ช แกรนด์ วอยวอร์ดแห่งเอร์เบีย
จักรวรรดิออสเตรีย จักรพรรดิฟรันซ์ โยเซฟที่ 1 ในฐานะองค์ประธานของเครื่องราชอิสริยาภรณ์แห่งออสเตรีย
อัลเบรชท์ที่ 1 ? ลาสโลที่ 5 ? แฟร์ดีนันด์ที่ 1 ? มักซีมีเลียนที่ 1 ? รูดอล์ฟที่ 1 ? มัททีอัสที่ 2 ? แฟร์ดีนันด์ที่ 2 ? แฟร์ดีนันด์ที่ 3 ? แฟร์ดีนันด์ที่ 4 ? เลโอโปลด์ที่ 1 ? โยเซฟที่ 1 ? คาร์ลที่ 3มาเรีย เทเรซ่า ? โยเซฟที่ 2 ? เลโอโปลด์ที่ 2 ? ฟรันซ์ที่ 1 ? แฟร์ดีนันด์ที่ 5 ? ฟรันซ์ โยเซฟที่ 1 ? คาร์ลที่ 4
อ่านบทความฉบับสมบูรณ์ได้ที่ http://th.wikipedia.org/wiki/จักรพรรดิฟรันซ์_โยเซฟที่_1_แห่งออสเตรีย